วิธีเลือกชั้นวางของให้เหมาะสมกับงาน

การเลือกชั้นวางของเหล็กที่เหมาะสมกับการใช้งานไม่ได้ขึ้นอยู่กับดีไซน์เพียงอย่างเดียวแต่ยังต้องพิจารณาจากปัจจัยสำคัญหลายอย่างเกี่ยวกับแต่ยังเกี่ยวข้องกับการใช้งานจริงพื้นที่และน้ำหนักของสิ่งของ ที่ต้องจัดเก็บด้วย หากเลือกผิดอาจทำให้ชั้นรับน้ำหนักไม่ไหว ใช้งานไม่สะดวก หรือสิ้นเปลืองเกินความจำเป็นเพื่อให้ชั้นวางมีประสิทธิภาพสูงสุด ปลอดภัยและใช้งานได้คุ้มค่าในระยะยาว บทความนี้จะอธิบายถึงหลักการเลือกชั้นวางของเหล็กให้เหมาะกับแต่ละประเภทการใช้งาน

1.พิจารณาจากประเภทการใช้งานและสถานที่
ชั้นวางเหล็กมีหลากหลายประเภท ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อรองรับการใช้งานที่แตกต่างกันไป
1.1) สำหรับใช้ในบ้านและสำนักงาน

  • วัตถุประสงค์: จัดระเบียบหนังสือ, ของตกแต่ง, แฟ้มเอกสาร, หรืออุปกรณ์สำนักงาน
  • คุณสมบัติที่ต้องการ: ชั้นวางควรมีดีไซน์ที่สวยงามเข้ากับการตกแต่งบ้าน(เช่น สไตล์มินิมอลหรือโมเดิร์น),สามารถปรับระดับความสูงของชั้นได้,และมีน้ำหนักเบาเพื่อการเคลื่อนย้ายที่สะดวก

1.2) สำหรับร้านค้าและคลังสินค้าขนาดเล็ก

  • วัตถุประสงค์: จัดเก็บสต็อกสินค้า,แสดงสินค้าหน้าร้าน,หรือเก็บอุปกรณ์เครื่องมือ
  • คุณสมบัติที่ต้องการ: ความแข็งแรงทนทานระดับกลาง,รับน้ำหนักได้ดี(ประมาณ 50-150 กก./ชั้น),ประกอบง่าย,และสามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบได้ตามความต้องการ

1.3) สำหรับโรงงานและคลังสินค้าขนาดใหญ่

  • วัตถุประสงค์: จัดเก็บสินค้าขนาดใหญ่, วางสินค้าบนพาเลท, หรือเก็บวัตถุดิบ
  • คุณสมบัติที่ต้องการ: ความแข็งแรงสูงเป็นพิเศษ(สามารถรับน้ำหนักได้ตั้งแต่200กก.จนถึงหลายพันกิโลกรัมต่อชั้น),โครงสร้างมั่นคง,และสามารถใช้งานร่วมกับรถยก (Forklift)ได้

2.พิจารณาจากน้ำหนักขงสิ่งของที่จะวาง
นี่คือปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการเลือกชั้นวางเหล็ก เพราะหากเลือกชั้นที่รับน้ำหนักได้ไม่เพียงพอ อาจทำให้ชั้นวางเสียหายหรือเกิดอันตรายได้

  • ชั้นวางสำหรับของเบา : เหมาะสำหรับวางของใช้ในบ้าน,หนังสือ,หรือแฟ้มเอกสารควรเลือกรุ่นที่รับน้ำหนักได้ประมาณ 50-100 กก./ชั้น
  • ชั้นวางสำหรับของหนักปานกลาง: เหมาะสำหรับสต็อกสินค้า,กล่องเก็บของ,หรือเครื่องมือช่างควรเลือกรุ่นที่รับน้ำหนักได้ 150-300 กก./ชั้น
  • ชั้นวางสำหรับของหนักมาก: เหมาะสำหรับใช้ในโรงงานหรือคลังสินค้าขนาดใหญ่ซึ่งสินค้ามีน้ำหนักมากควรเลือกรุ่นที่รับน้ำหนักได้ตั้งแต่ 500 กก. ขึ้นไป

เคล็ดลับ: ควรประเมินน้ำหนักรวมของสิ่งของที่จะวางบนแต่ละชั้นและเผื่อน้ำหนักเพิ่มอีกเล็กน้อยเพื่อความปลอดภัย

3.พิจารณาขนาดและพื้นที่
ชั้นวางแต่ละรุ่นรองรับน้ำหนักได้ไม่เท่ากันการเลือกที่เหมาะสมควรดูว่าสิ่งของที่จะวางมีน้ำหนักโดยรวมเท่าไหร่และเลือกชั้นที่รองรับได้มากกว่าความต้องการจริงเล็กน้อยเพื่อความปลอดภัยควรสังเกตด้วยว่ามีโครงเสริม คานกลางหรือเหล็กหนาพอที่จะรองรับการใช้งานระยะยาวหรือไม่

  • วัดพื้นที่ก่อนซื้อ ควรตรวจสอบทั้งความกว้างความลึกและความสูงของพื้นที่ที่จะติดตั้งรวมถึงเผื่อทางเดินประตูหรือหน้าต่างเพื่อไม่ให้ชั้นวางไปขวางการใช้งาน
  • เลือกตามขนาดสิ่งของ ถ้าเก็บของชิ้นเล็กเช่น หนังสือ กล่องเล็กชั้นที่ลึกประมาณ 30-40 ซม. ก็เพียงพอแต่ถ้าเก็บกล่องใหญ่หรืออุปกรณ์สำนักงานควรเลือกความลึก 45-60 ซม.เพื่อรองรับได้พอดี
  • ใช้พื้นที่แนวตั้งให้คุ้มค่า ถ้าพื้นที่ห้องเล็กอาจเลือกชั้นที่สูงขึ้นเพื่อเพิ่มพื้นที่เก็บของแต่ถ้ามีผู้สูงอายุหรือเด็กควรเลือกความสูงที่หยิบจับสะดวกและปลอดภัย
  • สมดุลกับห้อง ชั้นใหญ่เกินไปจะทำให้ห้องแน่นและอึดอัดในขณะที่ชั้นเล็กเกินไปอาจเก็บของไม่พอดังนั้นควรเลือกให้เหมาะทั้งกับพื้นที่และสิ่งของจริง

4.พิจารณาจากวัสดุและการเคลือบผิว
การเลือกวัสดุและการเคลือบผิวถือเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่หลายคนมักมองข้าม เพราะถึงแม้ชั้นวางเหล็กทุกแบบจะดูคล้ายกันแต่ความแตกต่างเล็กๆเหล่านี้มีผลโดยตรงต่อ ความแข็งแรงความทนทานและอายุการใช้งาน

  • วัสดุเหล็ก ชั้นวางส่วนใหญ่ทำจากเหล็กกล้า(Steel) ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องความแข็งแรงและรับน้ำหนักได้ดี แต่สิ่งที่ควรพิจารณาคือ “ความหนาของเหล็ก” หากเหล็กบางเกินไปแม้ดีไซน์จะดูสวยก็อาจไม่ทนต่อการใช้งานจริงโดยเฉพาะเมื่อต้องเก็บของหนักชั้นอาจบิดงอหรือเสียรูปได้ง่ายในขณะที่เหล็กที่หนากว่าจะรองรับน้ำหนักได้มากกว่าและมีความมั่นคงกว่า
  • การเคลือบผิว จุดอ่อนของเหล็กคือ “สนิม” โดยเฉพาะในสภาพแวดล้อมที่มีความชื้นสูง เช่น ห้องครัว ห้องน้ำ หรือคลังสินค้าที่อากาศถ่ายเทไม่ดี ดังนั้นควรเลือกชั้นวางที่มีการเคลือบผิวคุณภาพสูง เช่น
    -การพ่นสีฝุ่น ให้ผิวเรียบเนียนสีสวยทนรอยขีดข่วนและยึดเกาะเหล็กได้แน่นทำให้ป้องกันสนิมได้ดีกว่าการพ่นสีทั่วไป
    -การเคลือบสารกันสนิม เหมาะกับชั้นที่จะใช้ในที่เสี่ยงต่อความชื้นช่วยยืดอายุการใช้งานได้นานขึ้น
    -การชุบสังกะสี มักใช้กับชั้นวางที่ต้องการความทนทานเป็นพิเศษในสภาพแวดล้อมภายนอกเพราะทนต่อการกัดกร่อนได้ดีมาก
  • ความคุ้มค่าระยะยาว แม้ชั้นที่เคลือบผิวคุณภาพดีอาจมีราคาสูงกว่าเล็กน้อยแต่จะช่วยลดปัญหาสนิมการซ่อมแซมและการเปลี่ยนใหม่ในอนาคตทำให้คุ้มค่ากว่าในระยะยาว

การเลือกชั้นวางของเหล็กที่เหมาะสมไม่ได้ดูแค่ดีไซน์ แต่ต้องพิจารณาจาก 4 ปัจจัยหลักเพื่อให้ได้ชั้นวางที่มีประสิทธิภาพ ปลอดภัยและใช้งานได้คุ้มค่าที่สุด เริ่มจากการ พิจารณาประเภทการใช้งานทั้งในบ้าน,สำนักงาน,ร้านค้าหรือโรงงาน เพื่อเลือกโครงสร้างที่เหมาะสมจากนั้นคำนวณน้ำหนักของสิ่งของที่จะวางเพื่อเลือกชั้นวางที่รองรับน้ำหนักได้เพียงพอและปลอดภัยซึ่งถือเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดถัดมาคือการวัดขนาดและพื้นที่ให้แน่ชัด เพื่อให้ชั้นวางสามารถติดตั้งและใช้งานได้อย่างลงตัวและสุดท้ายคือการ ตรวจสอบวัสดุและการเคลือบผิวโดยเฉพาะการเคลือบสีฝุ่น(Powder Coating) ซึ่งช่วยป้องกันสนิมและทำให้ชั้นวางมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน

Leave a Comment