การจัดการสต๊อกสำหรับธุรกิจ E-commerce

ธุรกิจ E-commerce คือ กระบวนการที่ซับซ้อนกว่าการค้าปลีกทั่วไป เนื่องจากต้องรองรับความเร็วและโดยเน้นไปที่การมีสินค้าพร้อมขาย และ ความถูกต้องของสต๊อก เพื่อให้จัดส่งสินค้าถึงมือลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว ปัจจัยการทำธุรกิจ E-commerceแบ่งได้ตามนี้

ประเภทของธุรกิจ E-commerce แบ่งตามกลุ่มผู้ซื้อ-ผู้ขาย

  • B2C (Business-to-Consumer) คือ ธุรกิจต่อผู้บริโภค เป็นรูปแบบที่พบเห็นได้มากที่สุด คือการที่ธุรกิจขายสินค้าหรือบริการโดยตรงให้กับผู้บริโภครายบุคคลที่เป็นผู้ใช้ปลายทาง เช่น การซื้อเสื้อผ้าจากเว็บไซต์แบรนด์โดยตรง, การสั่งสินค้าจาก Shopee/Lazada, การซื้อคอร์สออนไลน์
  • B2B (Business-to-Business) คือ ธุรกิจต่อธุรกิจ เป็นการซื้อขายสินค้าหรือบริการระหว่างธุรกิจด้วยกัน มักเกี่ยวข้องกับการจัดซื้อวัตถุดิบ อุปกรณ์สำนักงาน บริการด้านไอที หรือการขายส่ง เช่น โรงงานผลิตซื้อวัตถุดิบจากซัพพลายเออร์ผ่านแพลตฟอร์ม, บริษัทซื้อซอฟต์แวร์ลิขสิทธิ์สำหรับพนักงาน, การสั่งซื้อเครื่องจักรขนาดใหญ่
  • C2C (Consumer-to-Consumer) คือ ผู้บริโภคต่อผู้บริโภค เป็นการซื้อขายระหว่างผู้บริโภคด้วยกันเอง โดยมีแพลตฟอร์มออนไลน์เป็นสื่อกลาง เช่น การซื้อขายสินค้ามือสองบนกลุ่ม Facebook Marketplace, การขายของในแอปพลิเคชันมือสอง, การประมูลของสะสมออนไลน์
  • C2B (Consumer-to-Business) คือ ผู้บริโภคต่อธุรกิจ ผู้บริโภคเสนอขายสินค้าหรือบริการของตนให้กับธุรกิจ เช่น ช่างภาพอิสระขายภาพถ่าย หรือ เนื้อหาดิจิทัลให้กับบริษัท, อินฟลูเอนเซอร์เสนอขายพื้นที่โฆษณา/รีวิวสินค้าให้แก่แบรนด์
การจัดการสต๊อกสำหรับธุรกิจ E-commerce
การจัดการสต๊อกสำหรับธุรกิจ E-commerce
การจัดการสต๊อกสำหรับธุรกิจ E-commerce

กระบวกนการของธุรกิจ E-commerceในการวางแผน

1.ระบบและเทคโนโลยี

  • ระบบบริหารจัดการสต๊อก ต้องรวมศูนย์ข้อมูลใช้ระบบเดียวเป็น ศูนย์กลาง เพื่อดึงข้อมูลสต๊อกไปแสดงบนทุกช่องทางขาย เช่น Website, Marketplace, Social Media แบบ Real-Time เพื่อป้องกันการขายเกินสต๊อก
  • การติดตามสถานะ ติดตามทุกความเคลื่อนไหวของสินค้าตั้งแต่ รับเข้า, จัดเก็บ , หยิบ , บรรจุ , ไปจนถึง จัดส่ง และ การใช้ Barcode ในการทำงานเพื่อเพิ่มความเร็วและความแม่นยำในการทำธุรกรรมคลังสินค้าทุกขั้นตอนโดยเฉพาะการหยิบและการตรวจสอบก่อนบรรจุ

2.กลยุทธ์การวางแผนสต๊อก

  • การพยากรณ์ความต้องการ โดยวิเคราะห์ข้อมูลการขายในอดีต ผสมผสานกับการพิจารณาปัจจัยภายนอก เช่น ฤดูกาล, เทศกาลลดราคา Flash Sale, และแคมเปญการตลาด เพื่อคาดการณ์ปริมาณสินค้าที่ต้องเตรียมไว้
  • การกำหนดระดับสต๊อก การคำนวณ Safety Stock ให้เหมาะสม เพื่อรองรับความไม่แน่นอนของอุปสงค์และความล่าช้าในการจัดส่งจากซัพพลายเออร์
  • การวิเคราะห์ สต๊อกแบบABC โดยแบ่งสินค้าออกเป็นกลุ่ม A คือ ขายดี/ทำกำไรสูง B, และ C ขายออกได้ช้าไล่ระดับลงมา เพื่อจัดลำดับความสำคัญในการตรวจสอบ การจัดเก็บ ควรวางสินค้า A ใกล้จุดหยิบง่าย

3.การจัดการคลังสินค้าและการจัดส่ง

  • การจัด Layout คลังสินค้า จัดวางสินค้าให้สอดคล้องกับเส้นทางการหยิบ ที่สั้นที่สุด โดยเฉพาะการจัดกลุ่มสินค้าที่มักถูกสั่งซื้อพร้อมกัน
  • วิธีการหยิบสินค้าเลือกวิธีหยิบสินค้าให้เหมาะสมกับปริมาณคำสั่งซื้อ เช่น Batch Picking หยิบสินค้าหลายรายการจากหลายคำสั่งซื้อในครั้งเดียว หรือ Zone Picking แบ่งพื้นที่รับผิดชอบการหยิบ
  • การจัดการสินค้าคืน กำหนดกระบวนการที่รวดเร็วในการตรวจสอบสภาพสินค้าที่ถูกส่งคืน และนำกลับเข้าสต๊อกเพื่อขายต่อโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อลดการขาดทุน

4.การควบคุมความแม่นยำ

  • การนับสต๊อกหมุนเวียน แทนที่จะนับสต๊อกทั้งหมดเพียงปีละครั้ง ให้ทำการนับสินค้าบางส่วนอย่างต่อเนื่อง รายวัน/รายสัปดาห์ โดยเน้นไปที่สินค้า A มูลค่าสูง/ขายดี เพื่อรักษาความแม่นยำของสต๊อกในระบบให้ตรงกับความเป็นจริง
  • ตัวชี้วัดประสิทธิภาพ KPI
    ● Inventory Accuracy Rate เปอร์เซ็นต์ความถูกต้องของสต๊อก ต้องใกล้เคียง 100%
    ● Order Fulfillment Cycle Time เวลาเฉลี่ยที่ใช้ในการจัดการคำสั่งซื้อตั้งแต่รับคำสั่งจนถึงการจัดส่ง ยิ่งสั้นยิ่งดี
    ● Stockout Rate อัตราการที่สินค้าหมดสต๊อกเมื่อลูกค้าต้องการซื้อ ยิ่งต่ำยิ่งดี

Leave a Comment